top of page

ราชาธิราช(ตอนสมิงพระรามอาสา)

ราชาธิราช..ตอน สมิงพระรามอาสา..
ฝ่ายพระเจ้ากรุงต้าฉิง ซึ่งเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงจีนนั้นมีทหารเอกคนหนึ่งชื่อ กามะนี มีฝีมือขี่ม้าแทงทวนสันทัดดี หาผู้เสมอมิได้จีนทั้งปวงก็สรรเสริญว่า กามะนีนี้ มิใช่มนุษย์ดุจเทพยดาก็ว่าได้อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ากรุงจีนเสด็จออกตรัสปรึกษาด้วยเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวงว่า "ทำไฉน เราจะได้เห็นทหารขี่ม้าสู้กันกับกามะนีตัวต่อตัวดูเล่นให้เป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่ง กษัตริย์องค์ใดยังจะมีทแกล้วทหาร(ทะ-แกล้ว แปลว่าทหารผู้มีฝีมือมาก)ที่สามารถจะสู้กามะนีได้แต่พอชมเล่นเป็นที่เจริญตาได้บ้าง"เสนาบดีจึงกราบทูลว่า"กษัตริย์ที่จะมีทแกล้วทหารขี่ม้าสันทัดนั้นมีอยู่แต่กรุงรัตนบุระอังวะ กับ กรุงหงสาวดี กษัตริย์ทั้ง2พระองค์นี้ย่อมทำสงครามแก่กันอยู่มิได้ขาด"พระเจ้ากรุงจีนได้ทรงฟังก็มีพระทัยยินดีนักจึงสั่งให้จัดพลพยุหเสนาทั้งปวงเป็นอันมากจะนับประมาณมิได้ครั้นที่ศุภฤกษ์แล้ว

(ถึงเวลายามดี) พระองค์ก็เสด็จทรงม้าพระที่นั่งยกทัพบกมายังกรุงอังวะ พระเจ้ากรุงจีนยกมาครั้งนั้นอุปมา(เปรียบเสมือน)ดังฝนตกห่าใหญ่ตกลงน้ำหนองท่วมป่าไหลเชี่ยวมาเมื่อวสันตฤดูนั้น(ฤดูฝน ก่อนฤดูร้อน หรือฤดูใบไม้ผลิ นั่นเอง)หาสิ่งใดจะต้านทานมิได้ ครั้นเสด็จดำเนินกองทัพมาถึงกรุงอังวะทอดพระเนตรเห็นกำแพงเมืองถนัดก็ให้ตั้งทัพมั่นลงฝ่ายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้แจ้งว่า ทัพจีนยกมามากเหลือกำลัง ก็มิให้ออกรบสู้ต้านทานให้แต่รักษาพระนครมั่นไว้เป็นสามารถฝ่ายพระเจ้ากรุงจีนจึงให้มีพระราชกำหนดประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า"ถ้าผู้ใดไม่มีอาวุธรบสู้ อย่าได้ทำอันตรายเป็นอันขาดถ้าผู้ใดมิฟังจะให้ตัดศีรษะเสียบเสีย"ครั้นพระเจ้ากรุงจีนให้ตั้งค่ายมั่นลงแล้ว ก็ให้แต่งพระราชสาส์นฉบับหนึ่งแล้วให้จัดแพรลายมังกรร้อยม้วน แพรลายทองร้อยม้วนกับเครื่องยศประดับหยกอย่างกษัตริย์ปสำรับหนึ่งให้ขุนนางในตำแหน่งฝ่ายพลเรือนชื่อโจเปียว พูดภาษาพม่าได้ กับไพร่พอสมควรเชิญพระราชสาส์น กับเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องโจเปียว ก็ถวายบังคมลา ถือพระราชสาส์นคุมเครื่องราชบรรณาการมากับด้วยพร่จึงเรียกทหารผู้รักษาหน้าที่ให้เปิดประตูเมืองรับนายทัพนายกองได้แจ้งด้งนั้น ก็เข้ากราบบังคมทูลพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องจึงโปรดให้รับผู้ถือพระราชสาส์นเข้ามาโจเปียวก็เข้ามากราบถวายบังคมหน้าพระที่นั่งถวายพระราชสาส์นกับเคื่องราชบรรณาการพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องจึงรับสั่งให้ล่ามเจ้าพนักงานเข้ามาแปลพระราชสาส์นล่ามแปลแล้วจึงสั่งให้อาลักษณ์อ่าน ในพระราชสาส์นนั้นว่าเรายกพยุหเสนามาครั้งนี้ ด้วยมีความปรารถนา2ประการจะใคร่ดูทหารขี่ม้ารำทวนสู้กันตัวต่อตัวชมเล่นเป็นขวัญตา(ทวน มีลักษณธคล้ายหอกแต่แหลมและเบากว่า) แม้ทหารกรุงอังวะแพ้ ก็ให้ยอมถวายเมืองแก่เราโดยดีอย่าให้สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเลย ถ้าทหารฝ่ายเราแพ้ก็จะเลิกทัพกลับไปยังพระนคร และราษฎรในกรุงอังวะนั้นโดยต่ำลงไปแต่กระท่อมน้อยหลังหนึ่งก็มิให้เป็นอันตรายพระเจ้าอังวะจะคิดประการใด ก็เร่งบอกออกมาพระเจ้าฝั่งมังฆ้องได้แจ้งในพระราชสาส์นนั้นแล้ว ก็ดีพระทัยนัก ด้วยทรงพระดำริว่า"การสงครามครั้งนี้เป็นธรรมยุทธ์ใหญ่ยิ่ง(ธรรมยุทธ์ แปลว่า สงครามโดยธรรมหรือยุติธรรม) สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎรจะมิได้ความเดือดร้อนสมควรแก่พระเจ้าแผ่นดินผู้ตั้งอยู่ในยุติธรรม"ทรงพระดำริแล้วจึงให้พระราชทานเงินทองเสื้อผ้าแก่ผู้ถือหนังสือเป็นอันมากแล้วให้แต่งพระราชสาส์นตอบฉบับหนึ่ง ให้จัดเครื่องราชบรรณาการผ้าสักหลาด20พับ นอระมาด50ยอด น้ำดอกไม้เทศ30เต้าช้างพลายผูกเครื่องทองช้างหนึ่ง(1เชือก)มอบให้โจเปียวผู้จำทูลพระราชสาส์นนำกลับไปถวายพระเจ้ากรุงจีนจึงรับสั่งให้ล่ามพม่าเข้ามาแปล ให้เจ้าพนักงานอ่านถวาย ในพระราชสาส์นนั้นตอบว่าซึ่งพระเจ้ากรุงจีนมีพระทัยปรารถนาจะใคร่ชมฝีมือทหารฝ่ายพม่าขี่ม้ารำทวนสู้กัน เป็นสงครามธรรมยุทธ์นั้นเราเห็นชอบด้วย มีความยินดียิ่งนักเพราะสมควรแก่พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ใหญ่อันประเสริฐ แต่การสงครามครั้งนีเป็นมหายุทธนาการใหญ่หลวง จะด่วนกระทำโดยเร็วนั้นมิได้ ของด(ขอ-งด)ไว้ภายใน7วัน อนึ่งพระองค์ก็เสด็จมาจากประเทศไกลไพร่พลทั้งปวงยังเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่ขอเชิญพระองค์พักพลทหารระงับพระกายให้สำราญพระทัยก่อนเถิดแล้วเราจึงจะให้มีกำหนดนัดหมายออกไปแจ้ง ตามมีพระราชสาส์นมานั้นพระเจ้ากรุงจีนได้แจ้งในพระราชสาส์ตอบกลับแล้วก็ดีพระทัยจึงสั่งให้นายทัพนายกองทั้งปวงสงบไว้
ฝ่ายพระเจ้ามณเฑียรทองครั้นส่งพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปแล้วจึงตรัสปรึกษาเสนาพฤฒามาตย์(ขุนนาง)ราชปโรหิต ข้าราชการผู้น้อย/ใหญ่ทแกล้วทหารทั้งปวงว่า"ผู้ใดจะรับอาสาขี่ม้าแทงทวนสู้กามะนีทหารพระเจ้ากรุงจีนตัวต่อตัวได้บ้าง"เสนาพฤฒามาตย์ผู้น้อย/ใหญ่ ทแกล้วทหารทั้งปวงก็มิอาจรับอาสาได้พระเจ้ามณเฑียรทองก็ทรงพระวิตกเป็นทุกข์พระทัยนักจึงให้พระโหรมาคำนวณพระชันษาและชะตาเมืองดู โหรก็คำนวณพฎีกาดู ทูลถวายว่า"พระชันษาและชะตาเมืองยังดีอยู่ หาเสียไม่ นานไปจะได้ลาภอันประเสริฐอีก"พระเจ้ามณเฑียรทองได้ทรงฟังก็ดีพระทัยจึงให้ตีฆ้องร้องป่าวทั่วทั้งพระนครว่า"ผู้ใดรับอาสาสู้กับกามะนีทหารพระเจ้ากรุงจีนได้พระเจ้าแผ่นดินจะโปรดให้เป็นพระอุปราชเสนาบดีรับสั่งแล้วก็ให้ป่าวร้องไปทั่วพระนคร ไม่มีผู้ใดที่อาจออกรบอาสาได้ฝ่ายผู้คุมซึ่งคุมสมิงพระรามนั้น จึงเจรจากับเพื่อนกันตามเรื่องราวแล้วว่า"ครั้งนี้พระเจ้าอยู่หัวจะแบ่งสมบัติให้กึ่งหนึ่งก็ยังไม่มีผู้ใดรับอาสา เห็นเมือง เห็นเมืองจะตกต่ำเสียละกระมัง"สมิงพระรามได้ยินดังนั้นก็คิดว่า~แต่เราต้องพันธนาการตรากตรำอยู่นานแล้วมิได้ขี่ช่าง,ม้า เหยีดมือ,เท้า เยื้องแขนซ้ายย้ายแขนขวาเล่นบ้างเลยรำคาญใจนัก เราจะกลัวอะไรกับกามะนีทหารจีน อันจะเอาชัยชนะนั้นไม่สู้ยากนักครั้นจะสั่งอาสาบัดนี้เล่า ก็เหมือนหาบสองบ่า อาสาสองเจ้าหาควรไม่~คิดแล้วก็นิ่งอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นผู้คุมได้ยินข้าหลวงมาป่าวร้องอีกจึงพูดกับเพื่อนกันว่า "ทัพจีนยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนักหาทหารผู้ใดที่จะรับอาสาพระนครไว้นั้นเป็นอันยากแล้วอย่าว่าแต่เมืองพม่าเท่านี้เลยถึงเมืองใหญ่ๆกว่าเมืองพม่าสัก10เมืองก็เห็นจะสู้ไม่ได้น่าที่จะเสียเมืองแก่จีนเป็นมั่นคง"สมิงพระรามได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า~กรุงอังวะนี้เป็นต้นทางดังอุปมาดังหน้าด่านกรุงหงสาวดี พระเจ้ากรุงจีนยกทัพมาครั้งนี้ก็มีความปรารถนาจะใคร่ดูทแกล้วทหารอันมีฝีมือขี่ม้ารำเพลงทวนสู้กันตัวต่อตัว ถ้าไม่มีผู้ใดสู้รบถึงจะได้เมืองอังวะแล้วก็ไม่สิ้นความปรารถนาแต่เพียงนี้เห็นศึกจีนจะกำเริบยกล่วงเลยลงไปติดกรงหงสาวดีด้วยเป็นมั่นคง ตัวเราเล่าก็ต้องจองจำตรากตรำอยู่ถ้าเสียกรุงอังวะแล้วจะหมายใจว่าจะรอดคืนไปเมืองหงสาวดีได้ก็ใช่ที่จำเราจะรับอาสาตัดศึกเสียจึงจะชอบ อย่าให้ศึกจีนยกลงไปติดกรุงหงสาวดีได้~คิดแล้วจึงพูดกับผู้คุมว่า "จะกลัวอะไรกับกามะนีทหารพระเจ้ากรุงจีนนั้นจะมีฝีมือดีสักเพียงไหน เรากลัวแต่ทหารเทพยดาที่เหาะได้ซึ่งกามะนีกับเราก็เป็นมนุษย์เดินดินเหมือนกัน เราหากลัวไม่พอจะสู้รบเอาชัยชนะ" นายผู้คุมได้ฟังก็ดีใจจึงตอบว่า ถ้าท่านรับอาสาได้แล้วก็ดียิ่งนัก เห็นท่านจะพ้นโทษได้ที่พระอุปราชมียศถาศักดิ์ใหญ่เป็นมั่นคงไปเบื้องหน้าเราจะขอพึ่งบุญท่าน" สมิงพระรามตอบว่า"ซึ่งเรารับอาสานี้จะหวังยศถาบรรดาศักดิ์หามิได้ ประสงค์จะกู้พระนครให้เป็นเกียรติยศไว้และจะให้ราษฎรสมณชีพราหมณ์อยู่เย็นเป็นสุขเท่านั้น" ผู้คุมได้ฟังก็ชอบใจจึงนำถ้อยคำสมิงพระรามรีบเข้าไปแจ้งแก่เสนาบดี เสนาบดีได้ฟังก็มีความชื่นชมจึงนำความเข้ากราบทูลพระเจ้ามณเฑียรทองตามคำสมิงพระรามว่านั้นทุกประการ

bottom of page